
รู้ก่อนซื้อตั๋วเครื่องบิน
เคยสงสัยไหมคะ เวลาเตรียมเอกสารยื่นวีซ่า หรืออ่านกฎการเดินทางเข้าต่างประเทศ แล้วเจอข้อความว่า
แล้วมันหมายความว่าอย่างไร? ต้องนับจากวันไหน? แล้วเราจะดูวันหมดอายุได้จากตรงไหน?
บทความนี้จะตอบทุกคำถามให้หายข้องใจ เตรียมตัวเดินทางครั้งต่อไปได้อย่างมั่นใจแน่นอนค่ะ! 👀
พูดง่ายๆ ก็คือ ณ วันที่คุณจะเดินทางออกจากประเทศไทย พาสปอร์ตของคุณจะต้องยังไม่หมดอายุไปอีกอย่างน้อย 6 เดือนข้างหน้าค่ะ
เหตุผลหลักคือเพื่อความปลอดภัยของตัวนักเดินทางเองค่ะ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้กำหนดเป็นแนวทางสากลเพื่อป้องกันกรณีฉุกเฉินต่างๆ ที่อาจทำให้เราต้องอยู่ต่างประเทศนานกว่าแผนที่วางไว้ เช่น การเจ็บป่วย, การเปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน หรือเหตุไม่คาดฝันอื่นๆ หากพาสปอร์ตหมดอายุระหว่างอยู่ต่างประเทศจะทำให้เกิดความยุ่งยากมาก ดังนั้น ประเทศส่วนใหญ่และสายการบินต่างๆ จึงยึดตามกฎนี้เพื่อความแน่นอนค่ะ
ตัวอย่าง: ถ้าพาสปอร์ตของคุณจะหมดอายุวันที่ 31 ธันวาคม 2568 วันที่ปลอดภัยที่คุณควรใช้เดินทางออกนอกประเทศครั้งสุดท้ายคือประมาณวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ค่ะ
แม้จะมีบางประเทศที่ไม่ได้ใช้กฎ 6 เดือนอย่างเคร่งครัด เช่น ญี่ปุ่น หรือ ฮ่องกง แต่จากประสบการณ์ที่เราเคยพบปัญหาผู้โดยสารถูกสายการบินปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องมาแล้ว เนื่องจากพาสปอร์ตมีอายุเหลือไม่ถึง 6 เดือน
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุดและป้องกันปัญหาที่ไม่คาดคิดซึ่งอาจทำให้การเดินทางของคุณต้องหยุดชะงักที่หน้าเคาน์เตอร์เช็กอิน เราจึงขอย้ำว่า การยึดหลัก "อายุหนังสือเดินทางเหลือเกิน 6 เดือน" ไว้ก่อน เป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุดค่ะ
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า มีทั้งแบบอายุหนังสือเดินทางเหลืออย่างน้อย 3 เดือน กับ 6 เดือน แต่ไม่ว่าจะเขียนต่างกันอย่างไร สรุปคือ ถ้าหากจะยื่นขอวีซ่าเชงเก้น ไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม
หนังสือเดินทางของคุณจะต้องมีอายุเหลืออยู่อย่างน้อย 3 เดือน นับจากวันที่คุณเดินทางออกจากกลุ่มประเทศเชงเก้น หรือนับจากวันสุดท้ายของวีซ่าที่ยื่นขอไว้ หรืออีกนัยนึง คือ วันที่คุณยื่นคำร้องขอวีซ่า พาสปอร์ตของคุณจะต้องมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน
แต่ก็มีบางประเทศที่ไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์ “หนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งาน เหลือมากกว่า 6 เดือน” ในการเดินทางเข้าประเทศ เช่น
ญี่ปุ่น ไม่ได้กำหนดอายุหนังสือเดินทางที่เหลืออยู่ว่าต้องเหลืออย่างน้อยเท่าไหร่ถึงจะใช้เข้าประเทศได้ แค่กำหนดว่าจะต้องครอบคลุมระยะเวลาที่อยู่ในญี่ปุ่นเท่านั้น
หรือ ฮ่องกง กำหนดให้ผู้เดินทางเข้าฮ่องกงทุกคน หนังสือเดินทางจะต้องมีอายุเหลืออยู่อย่างน้อย 1 เดือน เป็นต้น แต่ทั้งนี้แนะนำว่า ควรเช็กกับสายการบินที่เราจะใช้เดินทางไปยังประเทศดังกล่าว ก่อนที่จะซื้อตั๋วเครื่องบิน หรือ ก่อนวันเดินทางอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์จะดีกว่า เพื่อที่จะได้ไม่ฉุกละหุกเมื่อใกล้เดินทางหรือในวันเดินทาง
เป็น หนังสือเดินทางที่มีคุณลักษณะเฉพาะทางเทคนิค ตามข้อกำหนด ขององค์การ การบินพลเรือน ระหว่างประเทศ (ICAO) โดยประเทศไทย ได้นำระบบหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Passport) มาใช้ตั้งแต่เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งมีความแตกต่าง จากหนังสือเดินทางแบบเดิม ดังนี้
วัสดุที่ใช้ประกอบด้วย กระดาษที่เป็น security paper แบบพิเศษ เนื้อกระดาษมีเส้นใยที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า รวมทั้งมีลวดลายที่มองไม่เห็นกระจายอยู่ทั่วแผ่น แผ่นข้อมูลเป็นพลาสติก polycarbonate เพื่อใช้การพิมพ์ด้วยเลเซอร์
และมีการพิมพ์ลวดลายแฝงบนหน้าข้อมูล พร้อมทั้งมีการบันทึก ข้อมูลชีวภาพ หรือ ข้อมูลชีวมาตร (Biometrics Data) ได้แก่ การเก็บรูปใบหน้า ลายนิ้วมือ ม่านตา ลงใน microchip ซึ่งเป็นแบบ Contactless Integrated Circuit โดยฝังอยู่ในเล่มหนังสือเดินทาง มีการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อการตรวจสอบ ความถูกต้องแท้จริง ของหนังสือเดินทาง
สามารถป้องกันการปลอมแปลงได้สูง เป็นมาตรการสำคัญ ในการสกัดกั้น ขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ การลักลอบเข้าเมือง ฯลฯ หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้การตรวจสอบ เพื่อพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคล ได้ถูกต้องแม่นยำและรวดเร็ว
ทั้งยังสามารถใช้กับระบบ automatic gate ในการเดินทางเข้า-ออกนอกประเทศไทยได้ด้วย ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวก ต่อการเดินทาง และ ส่งเสริมการท่องเที่ยว เสริมสร้างภาพลักษณ์ ของประเทศ ทำให้หนังสือเดินทางไทย มีความน่าเชื่อถือ และ ได้รับการยอมรับ ในระดับสากลยิ่งขึ้น